Tuesday, October 28, 2014

โครงงานภาษาอังกฤษ (English Language Project)


การจัดการเรียนการสอนด้วยโครงงานเป็นที่นิยม และเชื่อว่าเป็นแนวการสอนที่ฝึกให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิด ทั้งคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การทำงานร่วมกัน ทั้งได้ถูกกำหนดว่าเป็นแนวการสอนที่ต้องนำมาใช้ในการพัฒนาทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 และมีการแนะนำไว้ในแนวการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นอกจากนั้น ยังมีการประกวดโครงงาน  ในกิจกรรมการประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการ  ของนักเรียนทั้งในระดับภูมิภาค และระดับชาติ แต่การจัดการเรียนการสอนโครงงานให้เต็มรูปแบบและพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถอย่างที่ต้องการนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจการสอนโครงงาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงงานทางภาษา ซึ่งหมายถึงภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ)นั้นมีความแตกต่างจากการสอนโครงงานวิชาอื่น ที่จัดทำภายใต้การสื่อสารด้วยภาษาแม่(ภาษาไทย)

1.        ความหมาย และความสำคัญ

                  สุคนธ์  สินธพานนท์ (2545 : 67) ได้ให้ความหมายของ โครงงานหรือโครงการไว้ว่า โครงการ (Project) หมายถึง ขั้นตอนหรือกระบวนการวิธีการทำงานอย่างมีระบบ ตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ ซึ่งผู้ทำอาจทำคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ และได้กล่าวถึง วิธีสอนแบบโครงงาน (Project Method) ว่าหมายถึง วิธีสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนหรือศึกษาค้นคว้า กระทำในสิ่งที่ตนสนใจและเป็นผู้วางแผนการทำงานนั้นด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้คำปรึกษาหรือเสนอแนะแนวทาง       

        วิมลรัตน์   สุนทรโรจน์ (2544 : 30-33) ได้กล่าวถึงความหมาย ความสำคัญ และหลักการของโครงงานไว้ว่า  โครงงาน หมายถึง กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้เรียนเป็นสำคัญโดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นระบบซึ่งมุ่งส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์ร่วมกันวางแผนเพื่อสร้างองค์ความรู้หรือแก้ปัญหาด้วยการศึกษาค้นคว้า ทดลองตามขั้นตอน และส่วนประกอบของโครงงาน โดยเมื่อปฏิบัติการโครงงานเสร็จแล้วต้องได้ความรู้ใหม่และสามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยตรงหรือโดยอ้อมได้

                 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยโครงงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับตัวผู้เรียนเป็นหลัก มุ่งเน้นที่การปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนักการศึกษาหลานท่าน อาทิ John Dewey, Piaget และ Vygotsky ที่มีแนวคิดทางการศึกษา คือ มุ่งเน้นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้แบบโครงงานจะช่วยสร้างทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนในด้านการคิดอย่างมีระบบ รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะการตั้งคำถามและรู้จักวิธีแสวงหาคำตอบ มีทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ตลอดจนทักษะการคิดตัดสินใจในการสร้างทางเลือกอย่างมีเหตุผล

                  ไซมอน ไฮเนส (Simom Haines:2002) ได้ให้ความหมายของโครงงานไว้ว่า โครงงาน คือ กิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะหลากหลายและมีจุดเน้นที่หัวข้อเรื่องมากกว่าที่จะเน้นเป้าหมายทางภาษาที่เฉพาะเจาะจง ความสำคัญของกิจกรรมนี้อยู่ที่ตัวนักเรียนเองเป็นผู้มีบทบาทในขั้นตอนแรกของการเลือกเรื่องที่จะทำและตัดสินใจว่าควรจะเลือกวิธีแบบใดจึงจะเหมาะสม ตลอดจนจัดตารางเวลาและชิ้นงานบั้นปลายของโครงงาน ด้วยเหตุที่ไม่ได้มีเป้าหมายทางภาษาใดๆ กำหนดไว้ล่วงหน้า ประกอบนักเรียนต้องพุ่งเป้าของความพยายามและความตั้งใจทั้งปวงไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ โครงงานที่ทำจึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำภาษาและทักษะที่มีมาใช้ในบริบทที่ค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติ โครงงานนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ทำแบบเข้มในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรืออาจเป็นการศึกษาหาความรู้เสริมซึ่งใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน

             สตอลเลอร์  (Fredericka L. Stoller 2004, 110 Quoted in Jack C. Richards

and Willy  A . Renanday  :2002, 110) ได้สรุปหลักสำคัญ ของการสอนแบบ Project Work ไว้ดังนี้

       1)  การสอนแบบโครงงานเน้นที่การเรียนรู้สาระเนื้อหามากกว่าภาษาเฉพาะเรื่อง และความสนใจของผู้เรียนที่มีต่อเนื้อหาต่างๆ ในสภาพปัจจุบัน สามารถนำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานได้

       2)  การสอนแบบโครงงานเป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญแม้ว่า ครูจะมีบทบาทเป็นอย่างมากในการช่วยเหลือสนับสนุนแนะนำตลอดระยะเวลาในกระบวนการทำงาน

       3)  การสอนแบบโครงงานเป็นการสอนที่เน้นความร่วมมือ มากกว่าการแข่งขัน นักเรียนสามารถทำโครงงานได้ทั้งแบบเป็นกลุ่มเล็กหรือทั้งห้องใช้ทรัพยากรร่วมกัน ร่วมคิดและสำรวจดลองไปพร้อมกันได้

       4)  การสอนแบบโครงงานนำไปสู่การบูรณาการทักษะในการหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย

      5)  การสอนแบบโครงงานนำไปสู่การนำเสนอชิ้นงานสุดท้าย ( End Product) อันได้แก่ การนำเสนอปากเปล่า, การนำเสนอเป็นโปสเตอร์ , การจัดบอร์ด, การเขียนรายงาน หรือ การแสดงบนเวที ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน คุณค่าของโครงงานหรือ Project work  มิได้อยู่ที่ End Product หรือชิ้นงานสุดท้ายเท่านั้น แต่มีความสำคัญอยู่ที่กระบวนการทำงานที่จะทำให้งานสำเร็จลงได้ การสอนแบบโครงงานจึงมีความสำคัญอยู่ในทั้งกระบวนการ และชิ้นงานซึ่งกระบวนการทำงานนั้นเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนทั้งความถูกต้อง และความคล่องแคล่ว ทางภาษา (Fluency and accuracy)

      6)  การสอนแบบโครงงานนั้นเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น แรงผลักดัน ความท้าท้ายและช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียนพร้อมกับการได้พัฒนาทักษะทางภาษาการเรียนรู้สาระต่างๆ ในเชิงลึก

               จากข้อมูลที่ได้นำเสนอมา สามารถสรุป ความหมายและความสำคัญของโครงงาน ได้ว่า โครงงานเป็นกิจกรรมที่ฝึกการทำงานและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบระเบียบ มีกระบวนการ ผู้เรียนควรฝึกฝน ในวัยเรียน  และการจัดการเรียนการสอนด้วยโครงงานเป็นกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ การทำงานร่วมกัน มากกว่าการแข่งขัน  ผู้เรียนได้เรียนภาษา ในหลายหน้าที่ (Function)  และโครงงานมีชิ้นงานสุดท้ายที่ท้าทายให้ผู้เรียนต้องทำให้สำเร็จ ได้ฝึกความรับผิดชอบ และภาระงานหรือชิ้นงานที่ทำเองนั้นเรียนว่าโครงงาน

 

2.  ลักษณะและ ประเภทของโครงงาน

                  ลักษณะโครงงาน ตามแนวคิดของ วิมลรัตน์   สุนทรโรจน์ (2544 : 13) ได้แบ่ง ลักษณะโครงงานออกเป็น 2 ลักษณะ คือ         1)  โครงงานตามสาระการเรียนรู้   เป็นโครงงานที่ผู้เรียนเลือกหัวข้อที่จะศึกษาจากหน่วยเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียนมากำหนดเป็นหัวข้อโครงงาน โดยบูรณาการความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ แล้วไปค้นคว้าในสาระการเรียนรู้ที่สนใจและจะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง     และ   2)  โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผู้เรียนสนใจจะศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ อาจเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน สภาพสังคม หรือประสบการณ์ที่ยังต้องการคำตอบข้อสรุปซึ่งอาจอยู่นอกเหนือจากสาระการเรียนรู้ในบทเรียน แต่ใช้ประสบการณ์จากการเรียนรู้ไปแสวงหาคำตอบในเรื่องที่ผู้เรียนสนใจ 

 

3.  ประเภทของโครงงาน 

                  ตามแนวคิดของวิมลรัตน์   สุนทรโรจน์ (2545: 200-201) ได้แบ่งโครงงานไว้ 4 ประเภท ดังนี้

                 1)  โครงงานประเภทสำรวจ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลต่างๆ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมากระทำเป็นหมวดหมู่ แล้วนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ที่ได้ศึกษา

                 2)  โครงงานประเภททดลอง เป็นการศึกษาหาคำตอบโดยการออกแบบการทดลอง และดำเนินการทดลอง เพื่อหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการทราบ หรือเพื่อตรวจสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 

                 3)  โครงงานประเภทการพัฒนาหรือการประดิษฐ์ เป็นการพัฒนาหรือประดิษฐ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ อาจเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่

หรือยังไม่เคยมีมาก่อน หรือการปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้น หรืออาจเป็นการสร้างแบบจำลองทางความคิดเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง  

                4)  โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎี การอธิบาย การทบทวนวรรณคดี การค้นหาองค์ความรู้ เป็นโครงงานที่ศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุ ความเป็นมา ผลกระทบ ตลอดจนเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล แล้วนำหลักการหรือทฤษฎีมาสนับสนุน   

              สตอลเลอร์  (Fredericka L. Stoller 2004,110 Quoted in Jack C. Richards and Willy A . Renanday:2002, 110) ได้กล่าวถึงรูปแบบของโครงงานทางภาษาว่า ขึ้นอยู่กับระดับความสนใจ ความต้องการที่จะเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ทำ โดยอ้างแนวคิดของ เฮนรี่ (Henry:1994) ว่าโครงงานมี 3 รูปแบบ คือ 1) Structure Project เป็นโครงงานแบบมีโครงสร้างซึ่งครูเป็นผู้กำหนดทั้งหัวเรื่อง, วัสดุอุปกรณ์, แนวคิดทฤษฎี และการนำเสนอชิ้นงานสุดท้าย 2) Unstructured project เป็นโครงงานที่ไม่กำหนดโครงสร้างโดยนักเรียนสามารถคิดทำได้หลากหลาย 3) Semi structured Project เป็นโครงงานกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ซึ่งเกิดจากการตกลงร่วมกัน โดยการนำเสนอรูปแบบระหว่างครูกับนักเรียน           

                  จากข้อมูลที่นำเสนอเกี่ยวกับ การจัดการศึกษารูปแบบ ลักษณะและประเภทของโครงงาน พอสรุปได้ว่า โครงงานมี 4 ประเภท ได้แก่ โครงงานประเภทสำรวจ โครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภทการพัฒนา โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีและการค้นหา องค์ความรู้ ซึ่งโครงงานภาษาอังกฤษ เป็นโครงงานค้นหาองค์ความรู้  และไม่มีรูปแบบตายตัว  อาจเป็นโครงงานที่กำหนดโครงสร้าง ไม่กำหนดโครงสร้าง หรือกึ่งโครงสร้างก็ได้ ขึ้นอยู่กับ การตกลงร่วมกันของครูกับนักเรียน  ดังนั้นผู้นำกิจกรรมโครงงานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนจึงต้องศึกษาลักษณะโครงงานภาษาอังกฤษให้เข้าใจในรายละเอียดของกิจกรรม

 

4. โครงงานภาษาอังกฤษ 

        4.1 ความหมายและความสำคัญของโครงงานภาษาอังกฤษ

                ไดแอน ฟิลลิป (Diane Phillips, Sarah Burwood & Helen Dinford: 1999,P6 ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของโครงงานไว้ดังนี้

      1) โครงงานเป็นการบูรณาการของหน่วยชิ้นงาน ตั้งแต่เริ่มต้นของการทำงาน จนกระทั่งได้ชิ้นงานสุดท้ายจากหลายๆกลุ่มในหัวเรื่องเดียวกัน  ทั้งครูและนักเรียนต่างมีความสุข ความภูมิใจในภาพรวมของความสำเร็จ

       2) โครงงานพัฒนาผู้เรียนโดยองค์รวม  เพราะได้ทั้งทักษะทางปัญญา  การคิดวิเคราะห์ การสรุป การอ่าน การวางแผน  ทักษะทางกายเช่นการเคลื่อนไหว การทำงานฝีมือ ทักษะทางสังคม การทำงานร่วมกัน การตัดสินใจร่วมกัน การยอมรับในความสามารถที่แตกต่างกัน และทักษะส่วนบุคคลเช่นความรับผิดชอบ การทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย การรับผิดชอบต่อผลการประเมินที่ออกมาเป็นต้น ซึ่งกระบวนการนี้เป็นตัวช่วยพัฒนาวุฒิภาวะของผู้เรียน

       3)  โครงงานเป็นกิจกรรมที่บูรณาการความรู้ทางภาษาและทักษะ   เนื่องจากโครงงานทางภาษานั้นผู้เรียนต้องได้ใช้ภาษาที่จำเป็นในการทำกิจกรรม หรือชิ้นงานให้สำเร็จ โครงงานจึงทำให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ และมีเป้าหมาย  ครูต้องมีความชัดเจนในภาษาในโครงงานแต่ละเรื่องที่ผู้เรียนอาจจะพบ หรือได้ใช้ เพราะผู้เรียนจะถือว่าตัวภาษาคือสิ่งที่จะต้องช่วยให้โครงงานนั้นสำเร็จ  ไม่ใช่ต้องเรียนภาษาเพื่อเพียงให้รู้

       4)  โครงงานช่วยกระตุ้นความเป็นอิสระในการเรียนรู้  ความสำเร็จของการเรียนรู้จากประสบการณ์ขึ้นอยู่กับทักษะการเรียนรู้ และการตัดสินใจเมื่ออยู่ในขั้นตอนที่ต้องไม่มีครูคอยแนะนำ โครงงานช่วยพัฒนาทักษะการสืบค้น การเรียนรู้แบบพึ่งตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาก้าวต่อไปโดยอิสระในที่สุด

       5)  โครงงานช่วยในการจัดกิจกรรมทางภาษาในห้องเรียนที่ประกอบด้วยนักเรียนที่มีความสามารถ ความสนใจ ความต้องการแตกต่างกัน  โครงงานช่วยให้นักเรียนได้ทำตามความสามารถของตนเอง และถ้าได้ทำตามความสามารถ ความสนใจ เมื่อได้ชิ้นงานสุดท้ายออกมานักเรียนย่อมมีความภาคภูมิใจ เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และพัฒนาเจตคติต่อภาษาอังกฤษ

       6)  โครงงานช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในหลักสูตร  เพราะโครงงานสามารถทำเป็นกิจกรรมเสริม หรือกิจกรรมเติมเต็มในโปรแกรมการเรียนที่ได้วางไว้ในหลักสูตรแล้ว ดังนั้นเรื่องเวลา เนื้อหากิจกรรม วิธีการขั้นต้อนจึงสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้

       ไซมอน ไฮเนส (2546 : 2) ยังได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญโครงงานภาษา ที่คล้ายกับแนวคิดของไดแอน ฟิลลิป คือ  1) โครงงานยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ  มิใช่หลักสูตรแต่เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในดำเนินงานเพื่อให้ชิ้นงานของโครงงานสำเร็จลงได้  2) โครงงานเน้นความร่วมมือ  มิใช่แข่งขัน  การช่วยกันทำชิ้นงานให้สำเร็จเป็นประเด็นชี้วัดความสำเร็จของโครงงาน มิใช่ระดับคะแนนหรือคำชมเชยจากครู  3)  โครงงานภาษา เน้นที่ทักษะมากกว่า โครงสร้างไวยากรณ์   แม้ว่าการดำเนินโครงงานเมื่อมาถึงระดับหนึ่งเรื่องความถูกต้องจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่กระนั้นก็แทบจะไม่มีโครงงานใดที่จะฝึกไวยากรณ์ หรือโครงสร้างทางภาษาเฉพาะเรื่องเป็นระบบเต็มตัว แต่โครงงานจะใช้ทักษะทางภาษาเกี่ยวเนื่องกัน   4)  ให้ความสำคัญของชิ้นงานบั้นปลาย   การกำหนดชิ้นงานบั้นปลาย หรือการตกลงกันให้ชัดเจนในผลงานที่จะทำเป็นสิ่งสำคัญในการทำโครงงาน  ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด  ชิ้นงานดังกล่าวควรเป็นผลงานที่เกิดจากงานหลากหลายที่ช่วยกันทำ หากไม่มีชิ้นงานสุดท้ายเป็นเป้าหมายปลายทาง โครงงานนั้นย่อมไร้ข้อสรุป กิจกรรมต่างๆที่ได้ลงแรงทำไปจะกลายเป็นเพียงแบบฝึกหัดที่ปราศจากความหมาย   ชิ้นงานบั้นปลายจึงเป็นเครื่องกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือร่วมใจทำงานในรูปแบบที่พึงพอใจด้วยทุกคนกัน เพื่อให้ผลงานที่ต้องการออกมาดีที่สุด    

        จากการศึกษาความหมายและลักษณะของโครงงานทำให้ทราบว่าโครงงานทางภาษา
มีความแตกต่างจากโครงงานวิชาอื่น และลักษณะเฉพาะของโครงงานทางภาษา นี้จะช่วยให้ผู้สอนสามารถใช้โครงงานในการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม

 
4.2  ขั้นตอนของโครงงานทางภาษา

      ไซมอน ไฮเนส (2546 : 5) ได้กล่าวถึงขั้นตอนและ บทบาทของครูในโครงงานอังกฤษ (Projects) สามขั้นตอนคือ

                ขั้นเริ่มแรก  เป็นขั้นที่ครูจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำโครงงานเมื่อใด และควรใช้ระยะเวลานานเท่าใดจึงจะเหมาะสม จากนั้นจึงนำหัวข้อมาพูดคุยกับนักเรียน กระตุ้น เร้าความสนใจให้นักเรียนได้คิดถึงหัวข้อของโครงงาน  การจัดกลุ่ม แหล่งข้อมูล วิธีการเก็บข้อมูล  เวลาการทำงาน และชิ้นงานบั้นปลายที่เหมาะสม

                 ขั้นตอนระหว่างการทำโครงงาน มีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำ เป็นผู้ยุติข้อโต้แย้ง หรือความไม่ลงรอยกันโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการใช้ภาษาของนักเรียน และเป็นประธานด้วยใจที่เป็นกลางเมื่อแต่ละกลุ่มนำชิ้นงานมานำเสนอในชั้นเรียน

                 ขั้นสุดท้าย เป็นขั้นตอนที่จะต้องนำเสนอชิ้นงาน  และประเมินกระบวนการทำโครงงานด้วยตนเองของนักเรียน  ครูจะเป็นผู้ให้ข้อสังเกต เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือให้โครงงานประสบผลสำเร็จ

                 สตอลเลอร์  (Fredericka L. Stoller 2004, 111-112  Quoted in  Jack  C.  Richards)

ได้เสนอรูปแบบการดำเนินการสอนด้วยโครงงาน 10 ขั้นตอน ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของครูและนักเรียนมีความหมาย และประสบผลสำเร็จมากขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนที่ครูและนักเรียนต้องสำรวจตรวจสอบภาษาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอน พอสรุปได้นี้

      1)  ผู้เรียนและผู้สอน ตกลงในหัวเรื่องที่จะทำโครงงานร่วมกัน (Students and instructor agree on a theme for the project) 

      2)  ผู้เรียนและผู้สอนตกลงรูปแบบการนำเสนอชิ้นงานสุดท้ายร่วมกัน (Students and instructor determine the Final outcome) ชิ้นงานสุดท้ายอาจเป็นได้หลายอย่างเช่น เอกสารรายงาน การจัดบอร์ด โปสเตอร์  แผ่นพับ  สมุดเล่มเล็ก การโต้วาที การนำเสนอด้วยปากเปล่า หนังสือพิมพ์ วิดิทัศน์ เป็นต้น

      3)  ผู้เรียนและผู้สอนวางโครงสร้างของโครงงาน (Students and instructor structure

 the project)  เป็นการพิจารณาถึงการรวบรวมข้อมูล แหล่งข้อมูล  บทบาทหน้าที่สมาชิกในกลุ่มผู้ทำโครงงาน ระยะเวลาการทำโครงงาน    

      4)  ครูเตรียม/ช่วยเหลือนักเรียนในขั้นตอนที่ 5  (Instructor prepares students for the language demands of information gathering) เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมช่วยให้นักเรียนมีวิธีการในการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ อาจเป็นวิธีการสัมภาษณ์ การจดบันทึก การอ่านเช่นการอ่านแบบกวาดสายตาดูภาพรวมอย่างรวดเร็ว (Skimming ) การบันทึกเทป หรือ วิดิทัศน์ ในการเก็บข้อมูล

      5)  นักเรียนรวบรวมข้อมูล (Students gather information) เป็นขั้นตอนการทำงานของผู้เรียนในการลงมือเก็บข้อมูล และเรียบเรียงเพื่อความเข้าใจ และการนำข้อมูลมาใช้   

      7)  ผู้สอนเตรียมนักเรียนในการวิเคราะห์ข้อมูล (Instructor prepares students for the language demands of compiling and analyzing data ) เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในการวิเคราะห์ข้อมูล แยกแยะและคัดเลือกข้อมูลที่ได้ จัดลำดับ เรียบเรียงให้เหมาะสมกับกับชิ้นงานสุดท้ายที่จะนำเสนอ  อาจเป็นการสอนให้รู้จักการสรุปความ หรือการเลือกคำสำคัญเพื่อนำเสนอในแผ่นชาร์ท  

      8)  นักเรียนรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล (Students compile and Analyze information) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนต้องตัดสินใจเองในการที่จะเอาข้อมูลใดในการนำเสนอ

      9)  ผู้สอนเตรียม/ช่วยเหลือผู้เรียนในการนำเสนอข้อมูล (Instructor  Prepares students for the language demands of presentation of the final product)  เป็นขั้นตอน ที่ครูผู้สอนต้องให้การช่วยเหลือผู้เรียนเกี่ยวกับภาษาการนำเสนอ  อาจเป็นภาษาพูดที่นำเสนอ  การตรวจสอบภาษาในชิ้นงานอันได้แก่รายงาน บอร์ด เป็นต้น

      10)  นักเรียนนำเสนอชิ้นงานสุดท้าย (Students present final product)  เป็นขั้นตอนที่นักเรียนต้องนำเสนอชิ้นงานสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นรูปแบบนิทรรศการ   การนำเสนอด้วยวาจา และมีการเชิญผู้ร่วมชมเข้าร่วมชมด้วย

      11)  ประเมินโครงงาน (Students evaluate the product) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะได้ สะท้อน และประเมินโครงงานทั้งหมดทุกขั้นตอนที่ได้ดำเนินงานมา (reflect on the experience) ว่าได้เกิดการเรียนรู้ภาษาอย่างไรบ้าง หรือได้เรียนรู้เนื้อหาสาระใดเพิ่มเติมขึ้นมา (แล้วแต่ว่าได้ตกลงเป็นประเด็นการศึกษา ไว้ในขั้นที่ 1 หรือ 2 หรือไม่ )

            เมื่อพิจารณาขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนด้วยโครงงาน จะเห็นว่านักการศึกษามีขั้นตอน ในการจัดการเรียนการสอนมากน้อยไม่เท่ากัน โดยเฉพาะโครงงานทางภาษาไม่มีขั้นตอนตายตัว แต่พิจารณาในกิจกรรมของแต่ละขั้นของ ของนักการศึกษาที่ได้กล่าวมา พอสามารถสรุปได้ว่ามีขั้นตอนหลักๆ สามขั้นตอนคือ  ขั้นเตรียมหรือขั้นเริ่มต้น  ขั้นดำเนินงานโครงการหรือโครงงาน และขั้นสุดท้าย ซึ่งมีการเสนอชิ้นงาน ประเมินและสะท้อนผลงาน  
4.3  การประเมินโครงงาน

       วิมลรัตน์  สุนทรโรจน์ (2545:208) กล่าวถึงการประเมินโครงงานว่า การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริง ดังนั้นการประเมินจึงประเมินตามสภาพจริงโดย 1)  สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติโครงงาน 2) ประเมินผลการจัดทำเค้าโครงงาน  และ 3)ประเมินผลงานของโครงงาน  

       ไซมอน  ไฮเนส (2546 : 10 ) ให้ข้อคิดว่า โครงงานมิอาจให้คะแนนได้โดยพิจารณาเพียงเนื้องาน  แม้นักเรียนแต่ละคนจะได้คะแนนตามระดับความพยายาม และการมีส่วนร่วม หรือจากงานเขียนแต่ละชิ้น และจากการรายงานหน้าชั้น  แต่ครูเองยังต้องการทราบว่านักเรียนแต่ละคนได้รับประโยชน์จาการทำโครงงานหรือไม่ มากน้อยเพียงไร การวัดผลความสำเร็จแบบเดิมๆ จึงทำไม่ได้   ในที่นี้ไซมอนได้เสนอ การทำแบบประเมินโดยจัดเป็นหัวข้อ บวก (Plus) และ ลบ (Minus)   แบบสอบถามประเมินค่า และวิธีการอภิปรายเรื่องโครงงานกับนักเรียนในชั้นเรียน ในประเด็น ความรู้สึกกับการทำโครงงาน การได้เรียนรู้ สิ่งต่างๆ เช่น คำศัพท์ การพัฒนาทักษะต่างๆ ข้อมูลความรู้จากโครงงาน สอบถามถึงกิจกรรมที่นักเรียนเห็นว่ามีประโยชน์สูงสุด สนุกที่สุด และสอบถามถึงพัฒนาการทางภาษาว่าทำได้ดีกว่าก่อนที่จะทำโครงงานหรือไม่ สุดท้ายครูจะสามารถประเมินได้ว่า โครงงานนี้ทำแล้วคุ้มค่าหรือไม่

                 จะเห็นได้ว่าการวัดและประเมินผลโครงงานนั้นจะต้องเป็นการประเมินจากสภาพจริง คือ การทำงาน การเรียนรู้ และชิ้นงาน โดยมีการประเมินจากหลายฝ่ายรวมกัน ทั้งผู้เรียน ผู้สอน ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน และอาจรวมถึงผู้ปกครอง และผู้ชมโครงงานไม่มีการใช้ข้อสอบวัดในการประเมิน   

 

 

 

เอกสารอ้างอิง

 กรมวิชาการ. (๒๕๔๒).แนวทางการประเมินสภาพจริงโดยใช้แฟ้มผลงาน วิชาภาษาอังกฤษ  อ 019 0110 

            และ 025 ชันมัธยมศึกษาปีที่ 5. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว   

มัลลิกา พงศ์ปริตร  และ ศรีภูมิ อัครมาศ (ผู้แปล และผู้แปลร่วม)(๒๕๔๖) Projects โครงงานอังกฤษ. กรงเทพฯ:

            เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า.  

วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์.(๒๕๔๔)  กระบวนการเรียนรู้โดยโครงงาน.  การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้.

           กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์.

วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์.(๒๕๔๔) นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ เอกสารประกอบการสอนวิชา 0506703 พิมพ์ครั้งที่ 3. 

           มหาสารคาม  :  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 

Diana L. Fried-Booth (2002) Project Work (Second Edition).  OXFORD University Press.

Jack C. Richards and Willy A. Renandya.(2004)  Methodology in Language Teaching An

Anthology of Current Practice. 110: Cambridge University Press.

 

Friday, October 24, 2014

Reflective Teaching

 Tomas Farrell (1998) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ reflective teaching ในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สอง ESL/EFL โดยได้อ้าง Pennington (1992) ว่า reflective teaching หรือการสะท้อนการสอน คือ การตรวจสอบทบทวนประสบการณ์ที่เกิดขึ้น  ซึ่งการสะท้อนผลนั้นเป็นทั้งปัจจัยและผลลัพธ์ของการพัฒนา   และได้เสนอแนะให้มีการใช้การสะท้อนผลเป็นเครื่องมือในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาความมั่นใจ แรงจูงใจภายในตัวครูและนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาครูนั้น Pennington (1995) กล่าวว่า ต้องมีการพัฒนาความตระหนักรู้ (AWARENESS) สร้างให้ครูเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการพัฒนาครูนั้นเป็นระบบที่ยั่งยืน เพื่อสร้างให้ครูสามารถมีปฏิสัมพันธ์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอน (innovative behavior) ของตนเองให้เข้ากับสภาพหรือบริบทที่แตกต่างกันได้ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ การพัฒนานวัตกรรมและการสะท้อนผลพินิจพิเคราะห์ (innovation and critical refection) โดยเธอได้ขยายความว่า การสะท้อนผลอย่างพินิจพิเคราะห์นั้นทำให้ครูสามารถสร้างกรอบการสอนขึ้นมาใหม่จากองค์ประกอบเดิมที่ขัดแย้งกันอยู่

นอกจากนั้น Richards (1990) ก็ได้กล่าว การสะท้อนคิด (Reflection) เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาครู
โดยได้อธิบายว่าความต้องการพัฒนาตนเองและการคิดวิเคราะห์ (self-inquiry and critical thinking) จะทำให้ครูเราก้าวจากระดับที่ต้องพึ่งพา กระตุ้น หรือการปฏิบัติที่เป็นกิจวัตร สัญชาติญาณ ไปสู่ระดับของการมีพฤติกรรมที่มีการปรับเปลี่ยนจากการได้สะท้อนคิดพินิจพิเคราะห์

Richards กล่าวว่า การสะท้อนคิดนับเป็นกิจกรรมหรือกระบวนการในการนำเอาประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้ปฏิบัติมาทบทวน ประเมินผล โดยเชื่อมโยงตรวจสอบกับวัตถุประสงค์กว้างๆ  ระลึกถึงประสบการณ์เดิมนี้ต้องทำอย่างครอบคลุม รอบครอบ (conscious recall) และมีการทดสอบก่อนการประเมินแล้วจึงนำไปสู่การตัดสินใจ ซึ่งการสะท้อนผลแบบนี้ทำให้ได้ข้อมูล (source) สำหรับการวางแผนและการปฏิบัติในขั้นตอนต่อไป

การสะท้อนคิดในด้านการสอนที่อยู่นอกเหนือวงการการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศนั้น ความหมายจะครอบคลุมไปถึงงานที่กลุ่มทางสังคมมาก
กว่าการดูพฤติกรรมการสอนบนฐานความเชื่อตามแนวคิดต่างๆ Fourell ยกตัวอย่าง 2 ตัวอย่าง คือ Zeichner and Liston (1987) และ Dewey (1933) โดยอธิบายว่าการสอนตามความหมายของ Zeichner และ Liston ว่าเป็นการที่คนๆ หนึ่ง (ครู) สอนคนหนึ่ง (นักเรียน) เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (หลักสูตร) ในที่ใดที่หนึ่ง   ส่วน Dewey มองลึกกว่าไปอีกว่า กิจวัตรในช่วงการสอนเกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาที่ต้องการเรียนรู้และจบลงที่สมมติฐาน  ส่วนการปฏิบัติที่เป็น Reflective action นั้น Dewey กล่าวว่าเป็นการมุ่งมั่น ลงมือปฏิบัติการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับองค์ความรู้ ความเชื่อ ทั้งในส่วนที่เป็นฐานคิดของทฤษฎีนั้นๆ และการนำไปเป็นแนวปฏิบัติ ในส่วน Zeichner and Liston (1987) กล่าวว่าการสะท้อนคิดนั้นเป็นการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับองค์ความรู้หรือแนวคิดใดๆ
แต่การกระทำที่เป็นกิจวัตรนั้นจะดำเนินไปตามระเบียบแบบแผน ข้อบังคับ หรือ สภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ จะมิได้มีการพินิจพิจารณาแต่อย่างใด ไม่เรียกว่าการสะท้อนคิด
Farrell ได้ศึกษาความหมายของ reflective teaching ในงานของ Schon (1983, 1987) ซึ่งได้มาจากแนวคิดของ Dewey อีกทอดหนึ่งว่า  การสะท้อนคิด ณ เวลาที่อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ (immediacy of the action) นั้นเป็นการประยุกต์ใช้เทคนิค การแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง เฉพาะอย่าง ซึ่งลักษณะของปัญหา หรือ สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเป็นประจำ สามารถรู้ล่วงหน้าได้ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถปรับประยุกต์เพื่อการแก้ปัญหาได้ตลอด

ในกรณีมีข้อถกเถียงว่าหากเกิดปัญหาที่มิใช่ลักษณะที่เกิดประจำ (non-routine) นั้นจะเป็นอย่างไร  Clark (1995) อธิบายว่าผู้ปฏิบัติจะจัดกรอบปัญหาที่คล้ายกัน และหาทางที่เป็นไปได้โดยกระบวนการคิดทบทวน (Spiraling process) แล้วจัดกรอบปัญหาใหม่ ข้อมูลที่ได้จะนำให้พบความรู้ใหม่สำหรับการแก้ปัญหาในอนาคต ในความคิดของ Schon กระบวนการปฏิบัติการสะท้อนผลเป็นกระบวนการจัดกรอบประเด็นที่พบ และจัดกรอบซ้ำโดยเทียบกับประสบการณ์และความรู้เดิม แล้วจึงวางแผนเมื่อปฏิบัติการในอนาคตต่อไป

Farrell ได้สรุปวิธีการสะท้อนคิดเกี่ยวกับการสอนทั่วไปไม่เกี่ยวกับ
TESOL ไว้ 5 กลุ่ม คือ

(1) Technical Rationality ตามแนวคิดของ Schulman (1987) และ
Vanmanner (1977) เป็นการสะท้อนตรวจสอบทักษะหรือพฤติกรรมการสอนตามแนวคิดทฤษฎีหนึ่งๆ  โดยทำในลักษณะของการวิจัย

(2) Reflection-in-action เป็นการสะท้อนตามประเด็นในวิชาชีพที่ปรากฏขึ้น
จะมีการคิดทบทวนและแบ่งปันสิ่งที่พบ เป็นแนวคิดของ Schon (1983,1987)

(3) Reflection-on-action เป็นการย้อนคิดทบทวนหลังการสอนแล้ว
เมื่อหาเหตุและผลของการกระทำหรือพฤติกรรมในชั้นเรียน เป็นแนวคิดของ Schon ,
Hattow & Smith (1995) และ Gore & Zeichner (1987)

 (4) Reflection-for-action เป็นการคิดเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติล่วงหน้า
(Killon & Todner,1991) เป็นการออกแบบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นโดยดูผลจากการสะท้อนทั้งสองแบบก่อนหน้า
(Reflection-in-action และ Reflection-on-action)

(5) Action research เป็นการสอบสวนหาความรู้จากการปฏิบัติการสอนอย่างเป็นระบบในที่ทำงานปกติ
เป็นการสะท้อนตนเองของผู้ปฏิบัติในสังคมหนึ่งๆ
เพื่อพัฒนาหลักการและการจัดการศึกษาของชุมชนและเพื่อความเข้าใจในผลการปฏิบัติตามสถานการณ์หรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น
 ...........................................................................................................................................................................
Critical Reflection (การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ)

Ferrell ได้ศึกษาเรื่องการสะท้อนคิดต่อการสอนทั้งในและนอกวงการสอนภาษาอังกฤษให้ผู้พูดภาษาอื่น
(TESOL) นั้น Farrell ได้อ้างสิ่งที่ Hatton and Smith (1995) กล่าวไว้ว่า เป็นการแสดงนัยของการยอมรับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง
ซึ่งเป็นประเด็นการพิจารณาปัญหาด้านคุณธรรมจริยธรรม และยังได้สรุปแนวคิดจาก Adler (1991) Gore & Zeichner  (1991)
และ Vanmanner (1977) ว่า
<p>"การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้นเป็นการพิจารณาตัดสินว่าการปฏิบัติในลักษณะของวิชาชีพนั้นๆ</p>มีความเป็นธรรม เหมาะสม น่าเลื่อมใส ศรัทธาหรือไม่เพียงใด"

ในวงการ TESOL นั้น คำว่า
 "Critical Reflection"  ได้ถูกนำมาใช้แบบไม่เคร่งครัดนัก โดย Farrell ได้กล่าวถึง Richards (1990) ว่าเขาไม่ได้แยกแยะระหว่างการสะท้อนคิด(Reflection) และการสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical reflection)   และไม่ได้มองกว้างออกไปถึงบริบททางสังคม
รวมทั้ง Pennington (1995) เพียงให้ความหมาย Critical reflection ว่าเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลจากนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจในการสอนของครูเท่านั้น ทางด้าน Barlelf (1990) ได้กล่าวว่าครูที่จะมีลักษณะสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้นจะเชื่อมโยงเทคนิคการสอนต่างๆ และคิดทบทวนตรวจสอบ ความจำเป็นในการพัฒนาเทคนิคนั้นๆ ในสภาพของสังคม, วัฒนธรรมที่กว้างออกไป

Farrell ได้ศึกษาประเด็นการนำวิธีการปฏิบัติสะท้อนคิดไปใช้ในการศึกษาของนักการศึกษาหลายคน
ได้แก่ Hoorer (1994) , Goodson (1994) , Hatlon & Smith (1994) โดยมีประเด็นที่น่าสนใจสรุปได้ว่า
การวิเคราะห์สะท้อนผลการปฏิบัติของตนเองต้องการเวลาและโอกาสในการลงมือปฏิบัติ และมีคำถามที่น่าพิจารณา คือ 1) ในการสะท้อนผลนั้นจะดูเพียงกระบวนการปฏิบัติหรือรวมทั้งสิ่งที่ปฏิบัติด้วย 2) การสะท้อนผลนั้นมีช่วงเวลาปฏิบัติที่ เหมาะสมเป็นอย่างไรในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจบงาน หรือ ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ 3) การสะท้อนการปฏิบัตินั้นยึดเอาปัญหาเป็นหลักเพื่อหาทางแก้ไขโดยเฉพาะในประเด็นในชั้นเรียน หรือเป็นการสะท้อนทุกประเด็นตามเนื้อหา (internet characteristic of  reflection) ซึ่งอาจมีการดำเนินการโดยใช้การเรียน Journal เป็นต้น 4) การวิเคราะห์สะท้อนผลนั้นดำเนินการอย่างไรในกรณีที่ต้องคำนึงถึงลักษณะทางการเมือง, วัฒนธรรม สังคม ความเชื่อ ความคิด คุณค่าในการหาทางออกให้แต่ละปัญหา
ในมุมมองของ Halton & Smith (1995) เห็นว่าการสะท้อนผลปฏิบัตินั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นการปฏิบัติในเชิงวิชาการมิใช่เพียงกับครูเท่านั้นและในส่วนของครูนั้นตั้งการเวลาและโอกาสในการดำเนินการ และการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนแปลกหน้านั้นทำให้ครูไม่มั่นใจ (Vulnerbility)
และประการสุดท้าย การสะท้อนคิดเกี่ยวกับการสอนของครูนั้นมีความแตกต่างกันในแนวทางแบบเดิม กับการศึกษาเพื่อพัฒนาครู ประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ควรเก็บมาพิจารณาหากจะนำ การสะท้อนคิดมาสู่การปฏิบัติในวิชาชีพครู


Farrell ได้เสนอแนะการนำ reflective approach มาสู่การพัฒนาการสอนของครูในสภาพที่ครูไม่มีเวลาโดยมีแนวทางที่ง่ายๆ
ที่ทำอยู่ให้มีระบบ โดยวิธีการดังนี้  
- ทำให้ครูได้เข้ากลุ่มและพูดคุยเกี่ยวกับการสอน

- ให้ครูได้รวบรวมข้อมูลจากชั้นเรียนของตนจริงๆ
และนำมาแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ ตีความจัดประเด็นร่วมกัน

- ให้ครูได้สังเกตตนเองด้วยการบันทึกเหตุการณ์การสอนด้วย
กล้อง/วีดีโอ หรือรับการสังเกตจากกลุ่มสมาชิกแล้วนำมาสู่การวิเคราะห์วิพากย์ร่วมกัน

-  การเขียน  Journal หรือ อนุทิน  แล้วให้กลุ่มสมาชิกได้ทำหน้าที่สะท้อนและแนะนำ

- จัดให้มีการดำเนินงานวิจัยปฏิบัติการ (action research) เป็นโครงการเป็นเรื่องๆ ไป

- จัดให้ครูได้เข้าร่วมประชุมปฏิบัติการ และได้เป็นสมาชิกของวารสารเชิงวิชาการวิชาชีพเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์สะท้อนตนเอง

บทสรุป 

Farrell เสนอแนะว่าครูควรได้มีโอกาสเลือกกระบวนการวิธีการในการสะท้อนการปฏิบัติการสอนของตนเองตามวัตถุประสงค์เป็นเรื่องๆ
เฉพาะคนไป อาจเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งในระหว่างสอนในเหตุการณ์ในชั้นเรียน หรือนอกชั้นเรียน หรืออาจเป็นการสะท้อนในภาพรวมเป็นภาคเรียนไป
Farrell  สรุปว่าหากครูต้องการให้นักเรียนได้รู้จักสะท้อนคิดการเรียนรู้ของตนเอง ครูเองก็ต้องรู้จักคิดสะท้อนการเรียนรู้ของตนเองก่อน  ครูเองก็ต้องรู้จักคิดสะท้อนผลตรวจสอบการสอนของตนเองอย่างจริงจัง เขาสรุปประโยชน์ของ reflective teaching สำหรับการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองและการสนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศว่ามี  4 ประการ คือ
 1) ทำให้ครูได้พัฒนางานที่ทำเป็นกิจวัตรให้ดีขึ้นเป็นอิสระมากขึ้น
 2) พัฒนา/ช่วย ครูให้หลุดพ้นจากภาวะอาการความไม่รู้ว่าจะพัฒนาอะไรอย่างไร
3) Reflective teaching จะแยกแยะครูนักวิชาการออกจากคนจ้างสอนทั่วไป
4) ในขณะที่ครูได้รับประสบการณ์จากชุมชนกลุ่มนักวิชาการ ครูได้ขยับตัวพัฒนาจากระดับการเป็นผู้สอนที่เอาตัวรอดไปวันๆ สู่การเป็นผู้รู้จักปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติของตนให้มียิ่งๆ ขึ้นเสมอ เป็นมีออาชีพอย่างแท้จริง   ดั่งเช่น คำพูดของ Dewey (1993) ว่าความเจริญงอกงามมาจากการสร้างสรรค์ประสบการณ์ Growth comes from a reconstruction of experience โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้สะท้อนผลตรวจสอบสิ่งที่ได้ปฏิบัติผ่านมาจามมุมมองเพื่อการศึกษาพัฒนาต่อเนื่อง 
 
 Source :  TESL Reporter31, 2 (1998)
Thomas Farrell,  National Institute of Education, Singapore.